ดังที่กล่าวไปข้างต้น กองทุนดัชนีแบบเชิงรับ หรือ Passive Fund นั้นเน้นสร้างผลตอบแทนตามตลาดหรือดัชนีราคาสินทรัพย์ที่อ้างอิง เพราะ Passive Fund จะมองว่า ทุกอย่างเคลื่อนไหวตามกลไกของตลาด จึงไม่จำเป็นต้องสร้างผลตอบแทนให้นำหรือฉีกจากตลาดจนเกิดเป็นความเสี่ยง แต่ในมุมกลับกัน ผู้จัดการกองทุน ดัชนีแบบ Active Fund จะมองว่า มูลค่าการตลาดสามารถสร้างให้มีผลตอบแทนได้มากกว่านั้น ดังนั้นกองทุนดัชนีแบบเชิงรุก Active Fund จึงมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และนักวิเคราะห์จำนวนมาก ที่ช่วยกันคิดกลยุทธ์และเทคนิคเพื่อหาทางเอาชนะตลาด
หรือจะสรุปง่าย ๆ ว่า Passive Fund มีวิธีการรับรู้และเข้าใจตลาด ตามสภาวะความเป็นจริง ลื่นไหลไปตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น การเข้าซื้อหุ้นจึงซื้อตามดัชนีอ้างอิง และเกาะตามกระแสไปเรื่อย ๆ แต่กองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะมีมุมมองและเข้าใจตลาดว่า ถึงแม้เศรษฐกิจหรือปัจจัยแวดล้อมโดยรวมของโลกจะเป็นอย่างไร ก็มักจะมีหนทางให้เข้าทำกำไรได้เสมอ ดังนั้นกองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะพยายามเลือกซื้อหุ้นโดยคัดเลือกตัวที่ดีที่สุด และมีแนวโน้มว่า จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
2. กองทุนดัชนีมีวิธีการสร้างผลกำไรที่แตกต่างกัน
ด้วยมุมมอง Passive Fund ที่เชื่อว่าทุกอย่างล้วน เปลี่ยนแปลงตามกระแสของตลาด และราคาประเมินมูลค่าของดัชนี (Benchmark) ที่กำหนดมานั้น มีความสมเหตุสมผลอยู่แล้ว วิธีการสร้างผลกำไร จึงอ้างอิงตามสถิติที่บันทึกไว้ทั้งกำไรและขาดทุน ส่วนกองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะเชื่อว่า ทุกการลงทุน สามารถสร้างผลกำไรที่สูงกว่าราคาประเมินได้ ถ้ามีกลยุทธ์ที่ดี รู้จักจังหวะการเข้าทำกำไร วิธีการสร้างผลกำไรจึงไม่สนใจกรอบของราคาประเมิน และมักจะหลุดจากสถิติที่บันทึกไว้
3. กองทุนดัชนีมีวิธีตรวจสอบความเสี่ยงแตกต่างกัน
ข้อนี้มีความสำคัญมากที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ เพราะการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี แบบ Passive Fund จะพยายามเลียนแบบผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีราคาที่ใช้อ้างอิงมากที่สุด นักลงทุนจึงอาจจะคาดหวังผลตอบแทนตามนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว กองทุนมีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียม แต่ตัวดัชนีไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้น ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจึงต้องหักค่าใช้จ่ายก่อนที่จะออกมาเป็นผลตอบแทนสุทธิ ซึ่งจุดนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนในการเลือกซื้อกองทุนดัชนี เพราะถ้าหากนักลงทุน ตัดสินใจมาทางสาย Passive Fund แล้ว ควรเลือกกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด เพื่อให้ผลตอบแทนสุทธิใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีที่สุด
ในขณะเดียวกันกองทุนดัชนีแบบ Active Fund จะไม่ประเมินความเสี่ยงจากค่ามาตรฐานของตลาด แต่จะยึดหลักการวิเคราะห์แนวโน้มของผลตอบแทนว่าจะไปในทิศทางใด โดยอ้างอิงจากเครื่องมือช่วยเทรดต่าง ๆ หากผลที่ออกมามีอัตราสูงกว่าค่ามาตรฐานของตลาด ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ ผู้จัดการกองทุนจะมองว่ายิ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากเท่านั้น และด้วยกองทุนดัชนีแบบ Active Fund เต็มไปด้วยบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมากมาย ทำให้มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง ดังนั้นนักลงทุนต้องพิจารณาและตัดสินใจให้รอบคอบก่อนการลงทุน
สาย Passive Fund ควรทราบ จุดเด่นและข้อจำกัดของกองทุนรวมดัชนีมีอะไรบ้าง
มีค่าใช้จ่ายต่ำ
ด้วยนโยบายกองทุนที่เลียนแบบผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิง ทำให้ Passive Fund ไม่ต้องใช้บุคลากรหรือทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษเพื่อช่วยวิเคราะห์คัดเลือกหลักทรัพย์ที่ลงทุน ค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมกองทุนจึงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนแบบ Active Fund
ถือครองได้ระยะยาว ไม่ต้องปรับพอร์ตบ่อย ๆ
น่าจะเป็นที่ถูกใจของนักลงทุนที่ชอบการลงทุนระยะยาว เพราะ Passive Fund มีนโยบายที่จะเกาะความเคลื่อนไหวของตลาดไปเรื่อย ๆ นักลงทุนจึงสามารถถือครองได้ระยะยาว
เมื่อได้ทราบถึงจุดเด่นของ Passive Fund กันแล้ว มาถึงข้อจำกัดของกองทุนรวมดัชนีกันบ้าง แน่นอนเพราะการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ซึ่ง Passive Fund ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรทราบเช่นกัน
แนะนำกองทุนดัชนีแบบ Passive Fund ยอดนิยมจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา
จากข้อมูลของกองทุนดัชนีแบบ Passive Fund ที่กล่าวมาข้างต้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยาขอแนะนำ Passive Fund เพื่อตอบโจทย์นักลงทุน เพื่อโอกาสสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตการลงทุน ได้แก่