SME จดทะเบียนการค้า เช่น ร้านกาแฟ ฯลฯ SME ประเภทนี้จะมีหุ้นส่วน มีสัดส่วนการแบ่งหุ้นที่ชัดเจน เนื่องจากได้ทำการจดทะเบียนการค้า อีกทั้งยังมีการทำรายรับรายจ่ายที่ชัดเจนเนื่องจากจะต้องยื่นให้กับสรรพากรอยู่แล้ว ตัวอย่างการคำนวณ เช่น ผู้ถือหุ้น นาย A ถือหุ้น 60 และ นาย B ถือหุ้น 40 ยอดขาย 1,000,000 บาท–ต้นทุน 800,000 บาท = กำไรขั้นต้น 200,000 บาท โดยที่ นาย A จะได้ 120,000 บาท ส่วน นาย B จะได้ 80,000 บาท ซึ่งธุรกิจ SME จะต้องดำเนินกิจการมาไม่น้อยกว่า 2 ปี เพราะถ้าหากน้อยกว่านี้จะเป็นอันยากในการพิจารณาปล่อยกู้ ยิ่งไปกว่านี้ในช่วง 2-3 ปี แรก กิจการกำลังเติบโตควรที่จะเอาเงินมาต่อยอดธุรกิจ เพื่อที่จะได้สร้างความมั่นคงให้ธุรกิจของเรามีความแข็งแรงดี ไม่ควรแบ่งรายได้ซื้อทรัพย์สินส่วนตัวมากจนเกินไป
เจ้าของกิจการท่านใดอ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจในเรื่องวิธีการกู้ซื้อบ้านของ SME บ้าง ขอแนะนำคลิป “Krungsri The COACH Ep.47 SME กู้บ้านเตรียมตัวอย่างไรให้ชัวร์” ฟังจบในคลิปเดียวได้เลยที่นี่
2. เช็กภาระหนี้ ก่อนกู้ซื้อบ้าน
แน่นอนว่าดำเนินธุรกิจ SME ส่วนใหญ่จะต้องมีการขอสินเชื่อเพื่อที่จะเอาไปดำเนินกิจการ ตัวอย่างเช่น การเสริมสภาพคล่องของกิจการ การซื้อเครื่องจักร และอื่น ๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อที่ดีทีเดียวเลยสำหรับเจ้าของกิจการที่อยากที่จะกู้ซื้อบ้าน เพราะสถาบันการเงินจะไม่ได้นำภาระหนี้สินในส่วนนี้มาคิดรวมด้วย เนื่องจากภาระหนี้กิจการเป็นภาระหนี้ที่ค่อนข้างมาก และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นในข้อรายได้ของ SME สถาบันการเงินได้ทำการรวมภาระหนี้ตรงนี้เข้าไปคำนวณด้วยแล้วนั่นเอง
เอกสารกู้ซื้อบ้านของเจ้าของธุรกิจ SME ถือได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากกับเจ้าของกิจการในรูปแบบ SME ถ้าหากเป็นกรณี SME ประเภทจดทะเบียนการค้ามี ภ.พ. 30 ก็จะไม่เป็นเรื่องยากเลย เนื่องจากในเอกสารจะบอกไว้อย่างละเอียดเลยว่ามีรายรับรายจ่ายมากน้อยเพียงใด มี Statement กับทางสถาบันการเงินเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน
แต่ถ้าหากเป็นกิจการ SME ประเภทที่ไม่ได้จดทะเบียนการค้าล่ะก็ จำเป็นอย่างมากที่จะต้องโชว์ Statement ให้กับสถาบันการเงินดู มากไปกว่านั้นบิลค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกิจการก็จำเป็น มากไปกว่านี้รายรับจะต้องสอดคล้องไปกับรายจ่ายด้วยเช่นเดียวกัน