“โอย... พี่อุตส่าห์หอบมาตั้งเยอะจากไทย ยังขายไม่ได้เลยสักชิ้น”
นี่คือเสียงบ่นของผู้ประกอบการไทยที่อุตส่าห์บินมาออกบูธงาน Trade exhibition ที่ญี่ปุ่นที่เข้าหูดิฉันเสมอ ๆ สมัยเรียน ดิฉันทำงานพิเศษเป็นล่าม คอยช่วยแปลภาษาให้ระหว่าง buyer ญี่ปุ่นกับผู้ประกอบการไทย ก็จะได้ยินเสียงโอดครวญจากทั้งสองฝั่ง ฝั่งไทยก็มักบอกว่า “ทำไมขายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่สินค้าฉันออกจะขายดีในไทย” ส่วนฝั่งญี่ปุ่นก็บอกว่า “เสียดาย ยังไม่มีอะไรโดนใจ”
ลองดูกันค่ะว่า สินค้าแบบไหนที่คนญี่ปุ่นไม่ซื้อกันนะ ...
1. สินค้าชิ้นใหญ่
ประเทศญี่ปุ่นมีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 1.5 เท่า แต่มีประชากรมากกว่าเราถึง 2 เท่า พื้นที่ของประเทศนี้จึงถูกซอยย่อยและถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด บ้านคนญี่ปุ่นจึงมีขนาดเล็กมาก พื้นที่จัดเก็บก็ไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่นจึงคิดแล้วคิดอีกเวลาจะซื้อของอะไรเข้าบ้าน วางแล้วจะเกะกะไหม มีพื้นที่เก็บหรือเปล่า
ประเทศญี่ปุ่นมีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 1.5 เท่า แต่มีประชากรมากกว่าเราถึง 2 เท่า พื้นที่ของประเทศนี้จึงถูกซอยย่อยและถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด บ้านคนญี่ปุ่นจึงมีขนาดเล็กมาก พื้นที่จัดเก็บก็ไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่นจึงคิดแล้วคิดอีกเวลาจะซื้อของอะไรเข้าบ้าน วางแล้วจะเกะกะไหม มีพื้นที่เก็บหรือเปล่า
แม้ว่าดีไซน์จะสวยงามแค่ไหน แต่สินค้าชิ้นใหญ่เทอะทะ จึงมักจะขายไม่ค่อยดีในญี่ปุ่น เพราะคนจะกังวลว่า วางในบ้านแล้วจะเข้ากับของอย่างอื่นไหม เพราะของทั้งบ้านเป็นของแบบเล็ก ๆ หมดเลย ความกังวลอีกประการ คือ ซื้อไปแล้วจะมีที่เก็บหรือไม่
เกณฑ์ง่าย ๆ ในการตรวจเช็คว่า สินค้าเราชิ้นใหญ่ไปหรือเปล่า คือ ให้เปิดตู้เสื้อผ้าที่บ้านแล้วลองวางสินค้าดู หากสินค้ายังใส่ตู้เสื้อผ้าที่บ้านไม่ได้ นั่นแปลว่า สินค้านั้นน่าจะใหญ่เทอะทะเกินห้องขนาด 20-30 ตารางเมตรของคนญี่ปุ่น และสิ้นเปลืองพื้นที่เกินไป ลองสังเกตนะคะ
สินค้าไทยที่ควรระวัง : เฟอร์นิเจอร์และสินค้าประดับบ้าน อาทิ แจกัน โคมไฟ ตะเกียงน้ำมัน Aroma
2. สินค้าอลังการ
คำว่า “อลังการ” ในที่นี้ หมายถึงสินค้าที่ตกแต่งเกินพอดี เช่น หากเป็นสร้อยก็เป็นสร้อยทอง 24k เส้นใหญ่ ๆ มีเพชรเม็ดโตวางตรงกลางพร้อมอัญมณี 7 สีรายล้อม กรณีกล่องไม้เก็บของก็เป็นกล่องไม้แกะสลักลวดลายทั้งกล่องพร้อมติดกระจกสีแดง เขียว น้ำเงิน
คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่ให้ความสำคัญกับ “ความเป็นธรรมชาติ” เป็นอย่างยิ่ง เขาจะพยายามคงความงามตามธรรมชาตินั้นไว้ ปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เราสามารถสังเกต “ความงามแบบญี่ปุ่น” ได้จากหลายแหล่ง อาทิ อาหารญี่ปุ่น (ประเภทไคเซกิหรือเซ็ทอาหารญี่ปุ่น) การจัดสวนที่ไม่เน้นดอกไม้สีฉูดฉาด หรือสถาปัตยกรรมวัดวาอารามที่ดูเรียบ โล่ง สะอาดตา ไม่มีการวาดจิตรกรรมฝาผนังหรือแกะปูนปั้นใด ๆ ทั้งสิ้น
แนวคิดอีกประการที่สำคัญ คือ คนญี่ปุ่นมองว่า “เราดีของเรา ไม่ต้องอวดใคร” คนญี่ปุ่นไม่โอ้อวดว่า ตนเองทำงานตำแหน่งสูงแค่ไหน ฐานะมั่นคงอย่างไร เขาจึงไม่จำเป็นต้อง “แสดง” ยศศักดิ์ฐานะผ่านสิ่งของ ไม่ต้องใช้ของอลังการเพื่อโชว์ว่าเรามีเงินซื้อ
การให้ความสำคัญกับความงามตามธรรมชาติและความถ่อมตัวเช่นนี้ ทำให้คนญี่ปุ่นชอบของที่ลวดลายสวยงามพอควร ไม่สะดุดตาหรือโอ่อ่าจนเกินไป หากเป็นเครื่องประดับ ตัวสร้อยก็จะเรียบ ๆ ธรรมดา มีหินหรือจี้เม็ดเล็ก ๆ ห้อยก็เพียงพอแล้ว ของประดับในบ้านอาจเป็นตุ๊กตาไม้และแต้มสีเล็กน้อย ให้เห็นความงามของเนื้อไม้นั้นมากที่สุด
สินค้าไทยที่ควรระวัง : เครื่องประดับ เสื้อผ้า ของประดับชิ้นเล็ก ๆ
3. สินค้าที่ไม่ตรงฤดูกาล
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีฤดูกาลชัดเจน แต่ละฤดู คนจะใช้ของแตกต่างกันไปหมด ตั้งแต่เสื้อผ้า การแต่งหน้า เครื่องประดับ ภาชนะใส่อาหาร อาหารและเครื่องดื่มที่ทาน เพราะฉะนั้น สินค้าไทยที่ขายได้ในฤดูหนึ่ง พอเข้าอีกฤดู อาจจะขายไม่ได้เลยก็ได้ คนญี่ปุ่นจะไม่ใช้ของผิดฤดู
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีฤดูกาลชัดเจน แต่ละฤดู คนจะใช้ของแตกต่างกันไปหมด ตั้งแต่เสื้อผ้า การแต่งหน้า เครื่องประดับ ภาชนะใส่อาหาร อาหารและเครื่องดื่มที่ทาน เพราะฉะนั้น สินค้าไทยที่ขายได้ในฤดูหนึ่ง พอเข้าอีกฤดู อาจจะขายไม่ได้เลยก็ได้ คนญี่ปุ่นจะไม่ใช้ของผิดฤดู
ฤดูที่สินค้าจากไทยขายดีที่สุด คือ ฤดูร้อน เนื่องจากสภาพอากาศใกล้เคียงกัน คนจะนิยมสินค้าเอเชีย เช่น รองเท้าสาน กระเป๋าหวาย เสื้อผ้าบาง ๆ กางเกงเล อาหารไทยเผ็ด ๆ ผลไม้อบแห้ง
ส่วนฤดูที่สินค้าไทยขายลำบากที่สุด คือ ฤดูหนาว คนจะเปลี่ยนไปดื่มกาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต เสื้อผ้าก็จะเป็นผ้าขนสัตว์แทนที่ผ้าฝ้าย สินค้าไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะเสื้อผ้าและเครื่องประดับจึงขายไม่ได้เลยในช่วงนี้ เนื่องจากไม่เหมาะกับสภาพอากาศของญี่ปุ่น
ผู้ประกอบการไทยควรระวังตรงจุดนี้และวางแผนช่วงที่ส่งออกสินค้าให้ดี
สินค้าไทยที่ควรระวัง : อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่น
4. สินค้าที่รสจัด
คนญี่ปุ่นทานอาหารรสไม่จัด ไม่มันมาก คนส่วนใหญ่แทบจะกินเผ็ดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น หากส่งออกอาหารหรือขนมไทยไปญี่ปุ่นต้องระวังเรื่องรสชาติ มิเช่นนั้นจะไม่ถูกปากคนญี่ปุ่น เช่น
คนญี่ปุ่นทานอาหารรสไม่จัด ไม่มันมาก คนส่วนใหญ่แทบจะกินเผ็ดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น หากส่งออกอาหารหรือขนมไทยไปญี่ปุ่นต้องระวังเรื่องรสชาติ มิเช่นนั้นจะไม่ถูกปากคนญี่ปุ่น เช่น
ผลไม้แห้ง ... ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม เน้นความหวานตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
อาหารแปรรูป เช่น แกง หรือต้มยำ ... ปรุงรสให้กลมกล่อม ไม่เผ็ดจี๊ดเปรี้ยวจ๊าด ญี่ปุ่นไม่มีคำว่า “แซ่บ”
เครื่องดื่ม ... ผสมเนื้อผลไม้ได้บ้าง แต่อย่าหวานเกินไป เน้นรสชาติธรรมชาติอีกเช่นกัน
ขนมต่าง ๆ เช่น ทองม้วน คุกกี้ ... ระวังกลิ่นที่ใช้ปรุงแต่ง อย่าให้กลิ่นอบเชยหรือกลิ่นน้ำมะลิแรงเกินไป
อาหารแปรรูป เช่น แกง หรือต้มยำ ... ปรุงรสให้กลมกล่อม ไม่เผ็ดจี๊ดเปรี้ยวจ๊าด ญี่ปุ่นไม่มีคำว่า “แซ่บ”
เครื่องดื่ม ... ผสมเนื้อผลไม้ได้บ้าง แต่อย่าหวานเกินไป เน้นรสชาติธรรมชาติอีกเช่นกัน
ขนมต่าง ๆ เช่น ทองม้วน คุกกี้ ... ระวังกลิ่นที่ใช้ปรุงแต่ง อย่าให้กลิ่นอบเชยหรือกลิ่นน้ำมะลิแรงเกินไป
ระยะหลัง วัยรุ่นสาวไทยเริ่มมีรสนิยมการทานอาหารคล้ายคนญี่ปุ่น คือ ทานอาหารรสจัดไม่ได้ ชอบอาหารที่ไม่มัน ไม่ชอบขนมที่หวานเกินไป หากหากลุ่มตัวอย่างชาวญี่ปุ่นไม่ได้ ลองขอให้สาวไทยที่รักสุขภาพชิมสินค้าก่อนก็ได้ค่ะ
อีกสิ่งที่ผู้ประกอบการควรระวังคือ “หน้าตาของสินค้า” คนญี่ปุ่นมีคำพูดว่า ทานอาหารด้วยปากอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทานด้วยตาด้วย คือ อาหารต้องจัดให้ดูน่าทาน หากเป็นปลากระป๋อง เทออกมาก็ต้องให้ปลายังคงเป็นชิ้น มีสีสันน่าทาน หากเป็นขนม ต้องหาวิธีทำบรรจุภัณฑ์เพื่อไม่ให้ขนมแตกหักได้ง่าย
สินค้าไทยที่ควรระวัง : อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่นเพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการไทยทั้งหลายอย่าพยายาม “จัดเต็ม” สินค้าเราเกินไปนะคะ อย่าให้สินค้าเราอลังการงานสร้าง มหึมาจนเกินไป คอยหมั่นสังเกตความชอบและความเชื่อของคนญี่ปุ่น ฤดูกาล ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของพวกเขาเพื่อปรับสินค้าเรา ให้โดนใจชาวญี่ปุ่นให้มากที่สุด