ในการทำธุรกิจ เครื่องหมายการค้าถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่สามารถทำให้ธุรกิจนั้นสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพจนเป็นที่พูด อย่างในกรณีดรามาในช่วงที่ผ่านมาบนโลกโซเชียล เกี่ยวกับเรื่องของการละเมิดเครื่องหมายการค้าที่มีการนำไปใช้ในการทำธุรกิจว่าเหมือนหรือไม่เหมือนต้นฉบับกันแน่

และในวันนี้เราจึงอยากพาทุกคนที่กำลังธุรกิจ หรือคนที่กำลังสนใจอยากเริ่มทำธุรกิจไปทำความรู้จักในเรื่องของเครื่องหมายการค้าให้มากขึ้น เพื่อที่จะเซฟเก็บเป็นความรู้นำไปใช้ในวันที่ธุรกิจของเราต้องเจอปัญหาในการใช้เครื่องหมายการค้านั่นเอง เตรียมสมุดจดให้พร้อม แล้วตามเราไปดูกันเลย
เข้าใจ “เครื่องหมายการค้า” ให้มากขึ้น
สำหรับเครื่องหมายการค้า (Trade Mark) คือ ทรัพย์สินทางปัญญาอีกหนึ่งประเภทที่เป็นตัวการันตีความสำเร็จของธุรกิจ โดยเครื่องหมายทางการค้านี้จะมีบทบาทที่สำคัญในการทำให้แบรนด์เป็นที่น่าจดจำ และยังเป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่แต่ละแบรนด์ควรมีเอาไว้เพื่อทำให้ลูกค้า หรือผู้บริโภคนั้นสามารถจดจำเอกลักษณ์ และความพิเศษของร้าน และสินค้านั้น ๆ ได้นั่นเอง
พูดมาแบบนี้หลายคนคงคิดว่า LOGO แบรนด์ คือเครื่องหมายการค้าใช่ไหม คงต้องตอบว่า เครื่องหมายการค้า และ LOGO มีข้อแตกต่าง คือ เครื่องหมายการค้า สามารถเป็นได้ทั้งข้อความ รูปภาพ ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ แต่ LOGO มักเป็นภาพกราฟิก ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ ตัวอักษร หรือภาพประกอบ
พูดมาแบบนี้หลายคนคงคิดว่า LOGO แบรนด์ คือเครื่องหมายการค้าใช่ไหม คงต้องตอบว่า เครื่องหมายการค้า และ LOGO มีข้อแตกต่าง คือ เครื่องหมายการค้า สามารถเป็นได้ทั้งข้อความ รูปภาพ ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ แต่ LOGO มักเป็นภาพกราฟิก ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ ตัวอักษร หรือภาพประกอบ

และในช่วงที่ผ่านมานี้ก็มีการพูดถึงทรัพย์สินทางปัญญากันเยอะมาก ๆ ทำให้หลายคน ๆ เกิดความสงสัยอยู่ว่า ทรัพย์สินทางปัญญา คืออะไรกันแน่ ซึ่งทรัพย์สินทางปัญญานั้นก็คือสิ่งใด ๆ ที่เกิดจากการประดิษฐ์ คิดค้น หรือความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ที่ได้นำเอาความชอบ หรือความชำนาญมาทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่มีความแตกต่างขึ้นมา และทำให้ผู้คนนั้นชื่นชอบ และเป็นที่น่าจดจำนั่นเอง
นอกจากนี้ผู้ที่ทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้วยังมีสิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้าของตนอยู่เสมอ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ทำสินค้า หรือแบรนด์ที่มีความเหมือน หรือคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้านั้นให้กับบุคคลอื่น เจ้าของที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าตัวจริงก็สามารถที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปได้เพื่อแสดงตนว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ถูกต้องนั่นเอง
นอกจากนี้ผู้ที่ทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้วยังมีสิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้าของตนอยู่เสมอ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ทำสินค้า หรือแบรนด์ที่มีความเหมือน หรือคล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้านั้นให้กับบุคคลอื่น เจ้าของที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าตัวจริงก็สามารถที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปได้เพื่อแสดงตนว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ถูกต้องนั่นเอง
5 เรื่องกฎหมายของทรัพย์สินทางปัญญา รู้เอาไว้ก็ไม่เสียหาย!
1. Q: ถ้าอยากจดเครื่องหมายการค้าให้ถูกต้อง ต้องทำอย่างไร?
A: การจดเครื่องหมายทางการค้าไม่ใช่เรื่องที่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่จะต้องยึดถือตามหลักทั้ง 3 ข้อนี้ ได้แก่
- เครื่องหมายการค้าจะต้องมีลักษณะที่เฉพาะ จะต้อง “ไม่มีคำ” ที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะ และสินค้าโดยตัวมันเอง เพราะคำเหล่านี้ เป็นคำที่ใคร ๆ ที่ขายสินค้าสามารถใช้ได้ ไม่สามารถจดเอาไว้เป็นของเราคนเดียว ตัวอย่างเช่น ข้าวไข่เจียว, ข้าวราดแกง เป็นต้น
- เครื่องหมายการค้าที่เราต้องการจดต้องไม่เหมือน หรือคล้ายคลึงกับแบรนด์ หรือสินค้าของแบรนด์อื่น ๆ โดยสามารถเช็กได้จากเว็บไซต์ของ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ตรงนี้เลย
- เครื่องหมายการค้าของเราจะต้องไม่เป็นเครื่องหมายที่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย เช่น เครื่องหมายที่มีลักษณะสื่อไปในทางลามก หยาบคาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเครื่องหมายทางราชการ
2. Q: ลิขสิทธิ์ Vs เครื่องหมายการค้า แตกต่างกันอย่างไร?
A: ลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายทางการค้า แม้คำนิยามจะมีความคล้ายคลึงกันแต่จะแตกต่างกันตรงที่ ลิขสิทธิ์นั้น หมายถึง ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดมาจากการแสดงออกของความคิด และผู้ที่สร้างสรรค์ หรือผู้ประดิษฐ์ ซึ่งจะมีสิทธิในสิ่งนั้นแต่เพียงผู้เดียว เป็นสิทธิที่คุ้มครองงานสร้างสรรค์เกือบทั้งหมด เช่น งานเขียนของศิลปิน, ภาพวาด หรือผลงานเพลงต่าง ๆ เป็นต้น
ส่วนเครื่องหมายการค้าจะเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่คุ้มครองการบริการเสียส่วนใหญ่ และยังครอบคลุมถึง ชื่อสินค้า, ชื่อบริการ รวมไปถึงคำโฆษณา หรือสโลแกนอีกด้วย
(อ้างอิง: idgthailand.com)
ส่วนเครื่องหมายการค้าจะเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่คุ้มครองการบริการเสียส่วนใหญ่ และยังครอบคลุมถึง ชื่อสินค้า, ชื่อบริการ รวมไปถึงคำโฆษณา หรือสโลแกนอีกด้วย
(อ้างอิง: idgthailand.com)
3. Q: เครื่องหมายการค้ามีเวลาคุ้มครองนานแค่ไหน?
A : เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนแล้ว จะมีอายุการให้ความคุ้มครอง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอจดทะเบียน และสามารถต่ออายุได้คราวละ 10 ปี โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่การยื่นคำขอต่ออายุต้องดำเนินการภายใน 90 วัน ก่อนวันที่เครื่องหมายการค้านั้นสิ้นอายุ
ดังนั้น ระยะเวลาคุ้มครองเครื่องหมายการค้าทั้งหมดจึงอยู่ที่ 20 ปี ยกเว้นในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีพฤติการณ์ใช้เครื่องหมายการค้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าจริงจัง หรือใช้เครื่องหมายการค้าเพื่อฉ้อโกงผู้บริโภค เป็นต้น ในกรณีนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาอาจพิจารณาเพิกถอนเครื่องหมายการค้านั้นก่อนครบกำหนดอายุ 10 ปี
นอกจากนี้ เจ้าของเครื่องหมายการค้ายังสามารถรักษาความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าของตนไว้ได้ โดยการใช้เครื่องหมายการค้าจริงจังอย่างต่อเนื่อง และโปรโมตเครื่องหมายการค้าของตนอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้น ระยะเวลาคุ้มครองเครื่องหมายการค้าทั้งหมดจึงอยู่ที่ 20 ปี ยกเว้นในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีพฤติการณ์ใช้เครื่องหมายการค้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าจริงจัง หรือใช้เครื่องหมายการค้าเพื่อฉ้อโกงผู้บริโภค เป็นต้น ในกรณีนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาอาจพิจารณาเพิกถอนเครื่องหมายการค้านั้นก่อนครบกำหนดอายุ 10 ปี
นอกจากนี้ เจ้าของเครื่องหมายการค้ายังสามารถรักษาความคุ้มครองเครื่องหมายการค้าของตนไว้ได้ โดยการใช้เครื่องหมายการค้าจริงจังอย่างต่อเนื่อง และโปรโมตเครื่องหมายการค้าของตนอย่างสม่ำเสมอ
4. Q: เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธินำไปใช้เรื่องอะไรได้บ้าง?
A: ผู้ที่ได้ทำการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว จะมีสิทธิได้รับการคุ้มครองดังนี้
- สิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้าในการทำธุรกิจ หรือการค้าขาย เว้นแต่จะมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะเหมือน หรือคล้ายของบุคคลอื่น
- สิทธิในการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
- สิทธิคัดค้านการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ว่าด้วย "บุคคลใดเห็นว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น อาจยื่นคำคัดค้านต่อนายทะเบียนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้ประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนนั้น"
- สิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น
- สิทธิในการต่อสู้คดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า
- สิทธิฟ้องคดีเกี่ยวกับการลวงขาย มาตรา 46 วรรค 2 ว่าด้วย "เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีต่อบุคคลใดก็ตามที่ละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของตน"
- สิทธิดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายซึ่งคุ้มครองเจ้าของเครื่องหมายการค้า
(dharmniti.co.th)
5. Q: หากมีการละเมิดเครื่องหมายการค้าจะมีความผิดอะไร?
A: ตามที่ พรบ. เครื่องหมายการค้าได้ระบุไว้ในมาตราที่ 273 ความว่า การปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว ไม่ว่าจะได้จดทะเบียนภายใน หรือภายนอกราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(อ้างอิง : ipthailand.go.th)
(อ้างอิง : ipthailand.go.th)

จะทำอย่างไรดี? เมื่อธุรกิจของเราโดนคดีการละเมิดเครื่องหมายทางการค้า
1. มีสติอย่าเพิ่งตื่นตกใจ
เมื่อเราได้รับหมายเรียกจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปให้การในคดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า สิ่งสำคัญคืออย่าเพิ่งตกใจ หรือตื่นตระหนก ควรทำความเข้าใจข้อกล่าวหา และหลักฐานที่คู่กรณีนำมากล่าวหาอย่างละเอียด
2. ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญ
ควรปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อขอคำแนะนำ และความช่วยเหลือในการต่อสู้คดี
3. รวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่มี
ให้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดที่เรามี เช่น เอกสารหลักฐานที่แสดงว่าไม่ได้ละเมิดเครื่องหมายการค้าของคู่กรณี และเอกสารหลักฐานที่แสดงว่าได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นมาก่อนมอบให้กับทนายความ เป็นต้น
4. ส่งเรื่องต่อไปให้ศาลตัดสินคดี
ตัวเราจะต้องต่อสู้คดีในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม โดยสามารถต่อสู้คดีด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ทนายความดำเนินการแทน โดยศาลจะพิจารณาจากหลักฐานที่เรามีทั้งหมด
สรุป
การศึกษาเรื่องของเครื่องหมายทางการค้านั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ว่าใครก็ควรที่จะเรียนรู้เอาไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเครื่องหมายทางการค้าที่ถูกต้องสำหรับทำ Start Up หรือธุรกิจ SME ที่จะได้เข้าใจ และระวังในเรื่องของเครื่องหมายทางการค้าไม่ให้ธุรกิจ หรือบริการของเรากลายเป็นของละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาอาจนำมาสู่การฟ้องร้องได้ในอนาคตนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก