แม้ว่าการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จะได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยจากผู้ประกอบการยุคปัจจุบัน เพราะมีข้อดีในเรื่องของความสะดวกในการซื้อ-ขาย ประหยัด ต้นทุน เมื่อเทียบกับการมีหน้าร้าน รวมถึงสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า แต่อีกด้านหนึ่งการขายของออนไลน์ก็มีอุปสรรคอยู่ไม่ใช่น้อย และปัญหาในการขายสินค้าที่คนขายของเจอก็อาจเป็นดาบสองคมให้กับธุรกิจได้เหมือนกัน หากมีการบริหารจัดการไม่ดีพอ
โดยในบทความนี้เราจะมาพูดถึง 5 ปัญหาในการขายสินค้าที่คนขายของออนไลน์มักพบเจอ และแบ่งปันวิธีการรับมือ ซึ่งจะตรงกับที่ผู้ประกอบการกำลังประสบอยู่หรือไม่ มาดูกัน
1. ไม่ได้วิเคราะห์ตลาด
ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาในการขายสินค้าออนไลน์ในเรื่องนี้ ผู้ประกอบการควรมีแผนการดำเนินงาน หรือสร้างกลยุทธ์ วิเคราะห์ออกมาว่าธุรกิจเรามีจุดเด่น-จุดด้อยตรงไหนเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง รวมถึงคิดเรื่องการทำการตลาด การใช้ช่องทางในการสื่อสาร ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค การทำโปรโมชัน เพื่อสร้างการรับรู้ที่มีต่อสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
2. การส่งสินค้าไม่เป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับปัญหาในการขายสินค้าของการขายของออนไลน์ข้อนี้ได้ โดยการหาคนมารับผิดชอบ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดเก็บข้อมูลของลูกค้าผ่านโปรแกรม Microsoft Office เช่น Excel หรืออาจจะลงทุนกับแพลตฟอร์มที่ให้บริการเรื่องจัดการดูแลออเดอร์สินค้า ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากกับการทำธุรกิจออนไลน์ในอนาคต และยังช่วยรองรับขยายตัวของธุรกิจในระยะยาวต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในการขายสินค้าออนไลน์ที่เหนือการควบคุม นั่นก็คือสินค้าอาจชำรุดจากการขนส่งก่อนไปถึงมือลูกค้า โดยผู้ประกอบการสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ด้วยการตรวจเช็กสินค้าทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่ามีสภาพพร้อมส่ง 100% หรือไม่ รวมถึงหาวัสดุกันกระแทกเข้ามาช่วยในการหุ้มห่อ เช่น เศษกระดาษ บับเบิล กระดาษลูกฟูก เพื่อสร้างความมั่นใจสินค้าจะส่งไปถึงมือลูกค้าแบบสมบูรณ์ ไม่เกิดการชำรุด
3. ไม่อัปเดตสินค้าแบบ Real time
สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาในการขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ข้อนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เพียงแค่หมั่นอัปเดตข้อมูลของสินค้าอยู่เรื่อย ๆ หรืออาจจะทำตารางสรุปข้อมูลในรอบ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ดูว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า เพื่อวางแผนว่าสินค้าตัวนั้นมีความเสี่ยงที่จะขาดตลาดหรือไม่ เมื่อสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ รู้ว่าสินค้าชนิดนี้มีความต้องการของลูกค้าสูง ก็จะสั่งเข้ามาเพิ่มได้ทันที ไม่ต้องรอให้สินค้าหมดก่อน
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจใช้วิธีการพรีออเดอร์ ซึ่งไม่มีความเสี่ยงที่สินค้าจะหมดสต๊อก เพราะรู้ตัวเลขจำนวนสินค้าที่ลูกค้าต้องการซื้อโดยตรง
4. ไม่มีบริการหลังการขาย
ด้านผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากบริการหลังการขายสร้างตัวตนให้กับแบรนด์ควบคู่ไปกับการทำการตลาดได้ เช่น สอบถามลูกค้าว่าได้รับสินค้าหรือยัง และให้ถ่ายรูปคู่กับสินค้าพร้อมกับติดแท็กของแบรนด์ผ่าน Facebook และ Instagram โดยมอบส่วนลดเมื่อมีการสั่งซื้อครั้งต่อไป ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการขายสินค้าออนไลน์ และยังได้สร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ให้ขยายออกไปในวงกว้าง
5. ถูกตัดราคาจากคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอาจไม่ต้องลดราคาตาม แต่เปลี่ยนไปสร้างจุดเด่นของสินค้าขึ้นมา เพราะการกำหนดราคาต้องมีความสอดคล้อง และเหมาะสมกับคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาผลิตสินค้า โดยใช้วิธีบอกเล่าที่มาที่ไปของสินค้า วัตถุดิบ และกระบวนการผลิต เพื่อสร้างความมั่นใจว่าสินค้าที่ลูกค้าเลือกซื้อมีความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
เรื่องที่ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงเป็นอย่างมากเวลาขายของออนไลน์ คือการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ทำทุกกระบวนการตั้งแต่สั่งซื้อสินค้าไปจนถึงจัดส่งสินค้าอย่างมืออาชีพ และพยายามจัดการปัญหาเกี่ยวกับการขายของออนไลน์ที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด สุดท้ายผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะตกอยู่กับผู้ประกอบการเอง เมื่อลูกค้าประทับใจสินค้าก็จะพูดถึงและรีวิวออกมาให้ทิศทางบวก เช่นเดียวกัน หากแบรนด์ถูกพูดถึงในทิศทางลบ อันเนื่องมาจากปัญหาในการขายสินค้าของร้านค้าออนไลน์ที่เกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากที่จะกู้คืนภาพลักษณ์กลับมา
และเตรียมพบกับตอนสุดท้าย มาดูกันว่า ธุรกิจออนไลน์ในยุค New normal จะเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน
รอติดตามเลย
รอติดตามเลย