“ลดน้ำหนัก” คำที่หลาย ๆ คนได้ยินก็คงรู้สึกเหนื่อยแล้ว เพราะทางออกแรกของการลดน้ำหนักที่เรานึกถึงคงหนีไม่พ้นการ “ออกกำลังกาย” แต่ในปัจจุบันนี้เอง มีการลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างเดียวเท่านั้น และวิธีนี้ก็ยิ่งเป็นที่นิยมนำมาใช้ลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่สาว ๆ นั่นคือการทำ IF วิธีการลดน้ำหนัก, ลดไขมัน ที่เป็นหนึ่งในทางเลือกแห่งความปลอดภัยด้านการลดน้ำหนักที่ค่อนข้างมีความปลอดภัยเมื่อทำอย่างถูกต้อง
เพราะฉะนั้น บทความนี้ ตัวผู้เขียนเองขอเชิญชวนทุก ๆ ท่านที่ต้องการลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกาย มาทำความรู้จักการทำ IF คืออะไร และทำได้อย่างไร ไปพร้อม ๆ กัน
เพราะฉะนั้น บทความนี้ ตัวผู้เขียนเองขอเชิญชวนทุก ๆ ท่านที่ต้องการลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกาย มาทำความรู้จักการทำ IF คืออะไร และทำได้อย่างไร ไปพร้อม ๆ กัน

การทำ IF คืออะไร ทำอย่างไรให้เห็นผล
การจะรู้ว่าทำ IF ได้อย่างไร ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักว่าการทำ IF คืออะไร กันก่อนเลยคำว่า IF หรือ Intermittent Fasting เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่เน้นการควบคุมแคลอรี่ และเน้นจำกัดเวลาในการทานอาหาร โดยมีหลายช่วงเวลาในการเลือกทำ IF นั่นเอง หรือเปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนกับการที่เรากินอาหารสุขภาพในเวลาที่กำหนด อย่างเช่น เราเลือกทำ IF ที่หยุดกิน 16 ชั่วโมง มีเวลารับประทานอาหารได้ 8 ชั่วโมง หรือเท่ากับว่าหากเราเริ่มรับประทานอาหารตั้งแต่ 08.00 เช้า เท่ากับว่าเวลา 16.00 เราต้องหยุดรับประทานอาหาร
โดยการทำ IF แบบนี้จะสามารถทานใหม่ได้ใน 08.00 ของอีกวัน และอาหารที่เราทานในการทำ IF นั้นต้องเน้นเป็นการนับแคลอรี่ และควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการกระตุ้นอินซูลิน ซึ่งในช่วงเวลาที่เราอดอาหารเราก็สามารถดื่มน้ำเปล่า ชา กาแฟ ที่ไม่มีน้ำตาล และสารแทนความหวานได้ เพราะถ้าหากว่าเรารับประทานเครื่องดื่มที่มีความหวาน หรือมีสารแทนความหวาน อาจจะกระตุ้นความอยากอาหารของเรานั่นเอง
ซึ่งการทำ IF นั้นมีหลายรูปแบบมาก ๆ ให้เราเลือกปฏิบัติตามถนัดและความพึงพอใจของเรา แล้วการทํา IF มีกี่แบบ ที่นิยมทำกันบ้างลองมาดูกัน
โดยการทำ IF แบบนี้จะสามารถทานใหม่ได้ใน 08.00 ของอีกวัน และอาหารที่เราทานในการทำ IF นั้นต้องเน้นเป็นการนับแคลอรี่ และควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการกระตุ้นอินซูลิน ซึ่งในช่วงเวลาที่เราอดอาหารเราก็สามารถดื่มน้ำเปล่า ชา กาแฟ ที่ไม่มีน้ำตาล และสารแทนความหวานได้ เพราะถ้าหากว่าเรารับประทานเครื่องดื่มที่มีความหวาน หรือมีสารแทนความหวาน อาจจะกระตุ้นความอยากอาหารของเรานั่นเอง
ซึ่งการทำ IF นั้นมีหลายรูปแบบมาก ๆ ให้เราเลือกปฏิบัติตามถนัดและความพึงพอใจของเรา แล้วการทํา IF มีกี่แบบ ที่นิยมทำกันบ้างลองมาดูกัน
4 รูปแบบของการทำ IF ที่นิยมมาให้ทุกคนได้รู้จักกัน

แบบที่ 1 : การทำ IF แบบ 16:8 การกินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และอดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง การทำ IF สูตรนี้จะไม่กระทบกับชีวิตประจำวันของเรามากไป จึงทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากในการทำ IF
แบบที่ 2 : การทำ IF แบบ Fast 5 หรือที่เรียกว่าการกินอาหารเพียง 5 ชั่วโมง และอดอาหาร 19 ชั่วโมงนั่นเอง ซึ่งการทำ IFสูตรนี้จะมีความเข้มข้นของการอดอาหารเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นเราควรดูความแข็งแรงของร่างกายก่อนตัดสินใจที่จะทำ IF สูตรนี้
แบบที่ 3 : การทำ IF แบบ Eat Stop Eat คือ อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน ส่วนวันอื่น ๆ ที่เราสามารถรับประทานได้ก็รับประทานปกติ แต่ก็ต้องควบคุมอาหารการกิน เช่นกัน สำหรับคนที่ป่วยง่าย หรือมีโรคกระเพาะอาหารการทำ IF สูตรนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะมากนัก
แบบที่ 4 : การทำ IF แบบ 5:2 คือการกินอาหารตามปกติ 5 วัน และกินอาหารแบบ Fasting 2 วัน ซึ่งการทำ IF สูตรนี้สามารถเลือกได้ว่าเราจะทำ Fasting ติดต่อกันหรือเว้นระยะก็ได้ โดยการทำ IF สูตรนี้จะเน้นไปในทางรับประทานอาหารให้น้อยลงแทน เช่น หากร่างกายเราต้องการ 1600 แคลอรี่ต่อวัน โดยการทำ IF สูตรนี้เราอาจจะรับประทานเพียง 500 แคลอรี่ต่อวัน หรือ ¼ ของแคลอรี่ที่เราต้องการต่อวันนั่นเอง
นี่ก็เป็นรูปแบบของการลดน้ำหนักด้วยการทำ IF อย่างไรก็ตาม เราควรเลือกรูปแบบการทำ IF ที่เหมาะสมกับร่างกายเราเองด้วย และไม่ควรเลือกรูปแบบที่ฝืนกับร่างกายของเราเกินไปเพราะอาจส่งผลให้ร่างกายของเราป่วยได้ในระยะยาว
แบบที่ 2 : การทำ IF แบบ Fast 5 หรือที่เรียกว่าการกินอาหารเพียง 5 ชั่วโมง และอดอาหาร 19 ชั่วโมงนั่นเอง ซึ่งการทำ IFสูตรนี้จะมีความเข้มข้นของการอดอาหารเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นเราควรดูความแข็งแรงของร่างกายก่อนตัดสินใจที่จะทำ IF สูตรนี้
แบบที่ 3 : การทำ IF แบบ Eat Stop Eat คือ อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน ส่วนวันอื่น ๆ ที่เราสามารถรับประทานได้ก็รับประทานปกติ แต่ก็ต้องควบคุมอาหารการกิน เช่นกัน สำหรับคนที่ป่วยง่าย หรือมีโรคกระเพาะอาหารการทำ IF สูตรนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะมากนัก
แบบที่ 4 : การทำ IF แบบ 5:2 คือการกินอาหารตามปกติ 5 วัน และกินอาหารแบบ Fasting 2 วัน ซึ่งการทำ IF สูตรนี้สามารถเลือกได้ว่าเราจะทำ Fasting ติดต่อกันหรือเว้นระยะก็ได้ โดยการทำ IF สูตรนี้จะเน้นไปในทางรับประทานอาหารให้น้อยลงแทน เช่น หากร่างกายเราต้องการ 1600 แคลอรี่ต่อวัน โดยการทำ IF สูตรนี้เราอาจจะรับประทานเพียง 500 แคลอรี่ต่อวัน หรือ ¼ ของแคลอรี่ที่เราต้องการต่อวันนั่นเอง
นี่ก็เป็นรูปแบบของการลดน้ำหนักด้วยการทำ IF อย่างไรก็ตาม เราควรเลือกรูปแบบการทำ IF ที่เหมาะสมกับร่างกายเราเองด้วย และไม่ควรเลือกรูปแบบที่ฝืนกับร่างกายของเราเกินไปเพราะอาจส่งผลให้ร่างกายของเราป่วยได้ในระยะยาว

เมื่อรู้แล้วว่า การทํา IF มีกี่แบบ สำหรับทุก ๆ คนที่กำลังสนใจจะทำ IF ในแต่ละสูตร นอกจากเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเองแล้ว เราขอแนะนำให้มาเช็กลิสต์กันสักหน่อยว่าตัวเราเองอยู่ในกลุ่มที่ไม่ควรลดน้ำหนักแบบการทำ IF รึเปล่า
5 กลุ่มที่ไม่ควรทำ IF มีคนกลุ่มไหนบ้าง
1. กลุ่มคนกำลังตั้งครรภ์
และกลุ่มคุณแม่ให้นมลูกไม่ควรทำ IF จะดีกว่า เพราะร่างกายของกลุ่มคนเหล่านี้กำลังต้องการสารอาหารเป็นอย่างมากเพื่อลูกตัวน้อย ซึ่งถ้าหากเกิดทำ IF อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสารอาหารได้นั่นเอง
2. กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ
หรือโดยเฉพาะโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวการรักษาก่อนตัดสินใจทำ IF เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย และผลกระทบจากการทำ IF ด้วย เพราะแน่นอนว่าคนที่มีโรคประจำตัวจำเป็นจะต้องรักษาตัวเองไปพร้อมกับการทำ IF เพราะอาจเกิดผลกระทบต่อร่างกายของเราจากการทำ IF ก็ได้
3. กลุ่มคนที่มีค่า BMI น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
เพราะแน่นอนว่าหากเรามีค่า BMI น้อยกว่ากำหนดแสดงว่าร่างกายของเราผอมมาก ๆ อยู่แล้ว ซึ่งหากเราเลือกลดน้ำหนักด้วย IF อีกอาจจะส่งผลให้ร่างกายของเราขาดสารอาหาร พร้อมทั้งจะส่งผลให้ร่างกายของเราแย่ลงเรื่อย ๆ นั่นเอง
4. กลุ่มคนที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ
หรือที่เรียกว่ากลุ่มคนอยากมีกล้าม ซึ่งอย่างที่เรารู้ ๆ กันว่ากลุ่มคนนี้เอง เป็นกลุ่มที่ต้องการสารอาหารเป็นอย่างมาก จึงไม่ควรทำ IF เพราะพวกเขาต้องการสารอาหารเพื่อไปสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และการทำ IF จะทำให้พวกเขาได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อร่างกายได้
5. กลุ่มคนที่เป็นโรคกลัวอ้วน
หรือที่เรียกว่า (Anorexia Nervosa) เพราะแน่นอนว่าหากเราป่วยเป็นโรคนี้เรามักจะกลัวการกินอาหารแทบทุกประเภทอยู่แล้ว หรือเรียกง่าย ๆ ว่าแทบจะไม่ค่อยกินอาหารเลยด้วยซ้ำ ซึ่งหากเราไม่รับประทานอาหารอยู่แล้ว และมาทำ IF อีกร่างกายก็จะแย่ลงมาก ๆ กลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่ควรทำ IF แต่เปลี่ยนไปใช้การควบคุมอาหารที่ทานแต่ละมื้อจะดีต่อสุขภาพมากกว่า
แนะนำอาหารสำหรับ เริ่มทำ IF กินอะไรได้บ้าง?

ถ้าหากเราเช็กลิสต์ว่าตัวเราอยู่ในกลุ่มที่ไม่ควรทำ IF รึเปล่ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างกายของเราเพียบพร้อมสำหรับการทำ IF แต่ยังไม่รู้ว่าต้องกินอะไรดี เริ่มทำ IF กินอะไรได้บ้าง เราขอแนะนำอาหาร 3 สีที่จะช่วยให้การลดน้ำหนักด้วย IF ของทุกท่านเห็นผลมากยิ่งขึ้น
1. อาหารสีเขียว
หรืออาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่สูง ซึ่งจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ขับของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายของเราได้ ซึ่งอาหารสีเขียวจะเน้นไปทางจำพวกผัก เช่น ผักกาด ผักคะน้า ผักบุ้ง และอื่น ๆ
2. อาหารสีแดง
หรืออาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น อกไก่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หรือปลาแซลมอน หากเป็นจำพวกผักก็จะเป็นมะเขือเทศ แคร์รอต สตรอว์เบอร์รี โดยอาหารเหล่านี้จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์แก่ร่างกายอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังช่วยเสริมโปรตีนให้ร่างกายของเราไม่อ่อนเพลียในแต่ละวันได้อีกด้วย
3. อาหารสีเหลือง
หรืออาหารที่เต็มไปด้วยเบต้าแคโรทีน จะพบได้ในผัก และผลไม้อย่าง ฟักทอง กล้วย นมถั่วเหลือง ซึ่งอาหารกลุ่มนี้จะช่วยในเรื่องของการให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย และจะไปช่วยกระตุ้นให้เลือดของเราไหลเวียนให้ทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าการทำ IF คืออะไร การลดน้ำหนักด้วยการทำ IF ของเราเห็นผลมากขึ้น และท้ายที่สุดแล้วเรื่องของการลดน้ำหนักด้วยการทำ IF นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย หากเราเช็กลิสต์สุขภาพ รู้จักการทำที่ถูกวิธี กินอาหารที่ช่วยเสริมให้เห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงสิ่งสำคัญที่ของการ IF ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ “ความพยายาม” และผลลัพธ์ที่เราคาดหวังก็จะมาหาเรานั่นเอง
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าการทำ IF คืออะไร การลดน้ำหนักด้วยการทำ IF ของเราเห็นผลมากขึ้น และท้ายที่สุดแล้วเรื่องของการลดน้ำหนักด้วยการทำ IF นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย หากเราเช็กลิสต์สุขภาพ รู้จักการทำที่ถูกวิธี กินอาหารที่ช่วยเสริมให้เห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงสิ่งสำคัญที่ของการ IF ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ “ความพยายาม” และผลลัพธ์ที่เราคาดหวังก็จะมาหาเรานั่นเอง